วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

รอบดวงตา... อย่าให้หมองคล้ำ



ลองมาดูวิธีลดรอบดวงตาดำคล้ำกันเลยค่ะวิธีแก้ไขง่าย ๆ พื้น ๆ มากค่ะ ใครจะทำตาม จึงไม่ต้องกังวลว่าจะปฏิบัติตามไม่ได้ เริ่มแรกจะแก้ไขที่สาเหตุก่อนค่ะ เช่น - ถ้าปัญหาเกิดจากนอนน้อย ควรหาเวลานอนพักผ่อนให้เพียงพอ - การขยี้ตาแรงๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่ง เพราะฉะนั้น ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาดค่ะ - ล้างหน้าหรือเช็ดเครื่องสำอางให้เบามือที่สุดค่ะ ถ้าแก้ที่สาเหตุแล้วขอบตายังบวมคล้ำ คราวนี้มาใช้แตงกวาฝานบางๆ แช่เย็น แปะไว้ที่เลือกตาสักพัก ซึ่งก็พอช่วยได้ ส่วนครีมรอบดวงตาที่มีขายอยู่ทั่วไปนั้น บางชนิดก็พอช่วยได้บ้างแต่วิธีนี้ขอให้ระมัดระวังสักหน่อย เพราะครีมบางชนิดอาจทำให้เกิดผื่นแพ้ได้ จึงควรเลือกใช้ แต่ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และไม่ลืมทดสอบที่บริเวณท้องแขนก่อนใช้กับรอบดวงตา แต่ถ้าไม่มั่นใจก็จะปรึกษาแพทย์ผิวหนังดูก่อนค่ะ

อาหารเสริมสวย



ในอดีต เราคงคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพจำพวกวิตามินต่างๆ น้ำมันปลา หรือสารสกัดจากธรรมชาติอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง แต่ในปัจจุบัน อาหารเสริมได้เกิดขึ้นเพื่อเข้ามาแก้ปัญหาความงามในจุดต่าง ๆ เช่น ฝ้า กระ ปัญหาสีผิว ริ้วรอยหรือจุดด่างดำ ฯลฯ ด้วยการสังเคราะห์สารเคมีหรือนำสารสกัดจากธรรมชาติที่เชื่อว่ามีผลในทางบวก ต่อปัญหานั้นๆ มาอยู่ในรูปของอาหารเสริม สารส่วนใหญ่ที่ผสมอยู่ในอาหารเสริมแต่ละชนิดมักจะคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกัน อาจแตกต่างกันบ้างด้วยกลไกทางการตลาดและ "เทรนด์" ที่เป็นตัวกำหนดว่า สารไหนมาแรงและเป็นที่นิยมกลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารสกัดที่ได้มาจากปลา เนื้อ แอสพารากัส อะโวคาโด และวอลนัท ทำให้สีผิวสม่ำเสมอ จุดด่างดำดูจางลง และทำให้ผิวขาวขึ้น คุณสมบัติของสาร Detoxification ที่มีอยู่จะเปลี่ยนสารพิษต่างๆ ที่ตกค้างอยู่ในร่างกายและขับถ่ายทิ้ง ช่วยเร่งประสิทธิภาพการทำงานของวิตามิน C และ E ให้ดูดซึมได้ดีขึ้น ไม่พบว่ามีผลข้างเคียงใดๆ ต่อผู้ใช้ ขนาดที่ควรรับประทานอยู่ที่ 500-1000 มิลลิกรัมต่อวันโคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ลดการเกิดริ้วรอย ป้องกันผิวหนังอักเสบจากแสงแดด และช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้เซลล์ผิวทำให้ผิวยืดหยุ่นแข็งแรง พบมากในอาหารทะเล เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ รำข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่ว น้ำมันถั่วเหลือง บรอคโคลี่ เป็นต้น ถูกดูดซึมได้ดีหากรับประทานพร้อมกับอาหารที่มีไขมัน ปริมาณที่แนะนำคือ 30 มิลลิกรัมต่อวันเปลือกสนสกัด (Pine Bark) ช่วยทำให้ผิวขาว ใส และลดปฏิกิริยาการเพิ่มเม็ดสีของผิวหนังเมื่อถูกแดด รวมทั้งลดขนาดและความเข้มของฝ้าโดยไม่มีผลข้างเคียงกับผิวบริเวณอื่น ไม่มีปฎิกิริยากับยา สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวอื่นๆ ปริมาณที่ควรรับประทานนั้นอยู่ที่ 20-25 มิลลิกรัมต่อวันสารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract) ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และป้องกันผิวจากรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต รวมทั้งลดอาการแพ้จากสภาพแวดล้อมและเครื่องสำอาง ควรรับประทานในปริมาณที่ 20-60 มิลลิกรัมต่อวันสารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract) ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอย สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ได้ดี ขนาดรับประทานที่แนะนำอยู่ที่ 300-1,000 มิลลิกรัมต่อวันไลโคพิน (Lycopene) พบมากในผักและผลไม้บางชนิด เช่น แอพรีคอต เกรฟฟรุ๊ต แตงกวา มะเขือเทศ และแตงโม มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความชราสูงกว่าเบตาแคโรทีนถึง 2 เท่าและให้สารอาหารได้มากกว่ากว่าวิตามินอีถึง 1000 เท่าน้ำมันสกัดจากดอกอีฟนิ่งพริมโรส (Evening Primrose Oil) ป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์ผิวหนัง ให้ผิวคงความชุ่มชื่น สดใส เปล่งปลั่ง ปรับสภาพผิวที่แห้งกร้านให้ดูนุ่มขึ้น ลดริ้วรอยและความหมองคล้ำของผิวพรรณ ลดการเกิดสิวอุดตัน ตลอดจนช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น ผิวหนังแห้ง รวมถึงอาการผมร่วง มีรังแค และเล็บเปราะได้ อาจเกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น อาการคลื่นไส้ ท้องอืดเฟ้อ ปวดศีรษะ อาการผื่นแพ้ และอาการลมชักกำเริบ ฯลฯ จึงควรรับประทานผลิตภัณฑ์พร้อมๆ กับการรับประทานอาหารเพราะสามารถลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้บริเวอร์ยีสต์ (Brewer's Yeast) อุดมไปด้วย Biotin หรือวิตามิน B ชนิดหนึ่งซึ่งช่วยให้เล็บที่เปราะแข็งแรงขึ้น และช่วยบำรุงสุขภาพผม และยังมีสรรพคุณในเรื่องการรักษาสิวได้ผลดี รวมทั้งมีประสิทธิภาพในการชะลอความชรา ขนาดรับประทานที่แนะนำอยู่ที่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน บริเวอร์มีผลต่อตัวยาอื่น การใช้จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุน โรคเก๊าท์หรือมีระบบภูมิคุ้มกันเสียหายอย่างรุนแรงควรหลีกเลี่ยง ทั้งนี้ บริเวอร์ยีสต์ยังมีผลข้างเคียงกับผู้ที่ร่างกายแพ้ต่อการสัมผัสได้ง่าย คืออาจก่อให้เกิดอาการไมเกรน ปวดหัว บางครั้งอาจมีอาการผื่นคัน อาการบวมน้ำ หรือเป็นหัดได้ การใช้ครั้งแรกอาจก่อให้เกิดแก๊สในลำไส้ ดังนั้นจึงควรเริ่มใช้แต่น้อยก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่แนะนำ หากมีอาการคลื่นเหียนอาเจียน ควรหยุดใช้ทันทีและรีบปรึกษาแพทย์ สารสกัดเหล่านี้มีทั้งในรูปของสารสกัดบริสุทธิ์และรูปของอาหารเสริมที่มีจุด มุ่งหมายเฉพาะด้าน เช่น เพื่อให้ผิวขาว ลดกระและฝ้า ลดริ้วรอยหรือให้ผิวพรรณผ่องใส ซึ่งบนฉลากผลิตภัณฑ์ไม่สามารถบอกสรรพคุณนั้น ๆ ได้ เพราะกฎหมายกำหนดไว้ สังเกตได้จากกล่องอาหารเสริมทุกกล่อง จะระบุว่า "การได้รับปริมาณอาหารที่จำเป็นนั้น ควรได้รับจากสารอาหารให้ครบ 5 หมู่" เพราะอาหารเสริมไม่ใช่สิ่งจำเป็น ก่อนตัดสินใจเลือกใช้อาหารเสริมชนิดใด ควรรู้ความต้องการของตนเองเสียก่อน เพื่อจะได้พิจารณาสารที่เป็นส่วนประกอบในอาหารเสริมได้อย่างเหมาะสมหลายคน เข้าใจว่า ยิ่งมีสารมากตัวเท่าไหร่ยิ่งดี ประสิทธิภาพยิ่งสูง ทั้ง ๆ ที่บางครั้ง เราไม่ได้จำเป็นต้องใช้สารตัวนั้นเลย แถมยิ่งมีสารมากตัว ราคาก็ย่อมมากขึ้นด้วย ที่สำคัญ ในทุก ๆ ผลิตภัณฑ์จะระบุปริมาณของสารแต่ละชนิดที่ผสมอยู่ การมีปริมาณสารที่มากหรือน้อยเกินไป ย่อมเกิดผลเสียทั้งนั้น ถ้าคุณต้องการเลือกบริโภคอาหารตามธรรมชาติเพื่อให้ได้รับสารเหล่านั้นแทนการ กินในรูปอาหารเสริม ก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องรับประทานในปริมาณที่มากกว่าเพราะตัวสารสกัดนั้นได้ดึงเอาเฉพาะ สารที่ต้องการเพื่อความสะดวกเป็นสำคัญ แต่มีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย เพราะในกรรมวิธีการสกัดเอาสารนั้นๆ ออกมา จำเป็นต้องใช้ตัวทำละลาย ซึ่งหากผู้ผลิตไม่มีความชำนาญเพียงพอ อาจพบปัญหาการตกค้างของตัวทำละลายที่ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างเราๆ ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากบริษัทผู้ผลิตที่ต้องมีความ น่าเชื่อถือและไว้ใจได้ อีกทั้งต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อน พิจารณาเลือกซื้อ เพราะอาหารเสริมบางตัวอาจมีผลหักล้างกัน เช่น หากเรารับประทานไคโตซานเพื่อดักจับไขมันในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดความอ้วน แต่ต้องการน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสออยส์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว เจ้าไคโตซานก็จะดักจับน้ำมันอีฟนิ่งไว้เพราะถือเป็นไขมันชนิดหนึ่ง หรืออย่างผลิตภัณฑ์บางชนิดที่อาจมีผลข้างเคียง เช่น คอนลาเจนที่จะทำให้ร่างกายบวมน้ำ คนที่ท้วมจึงไม่ควรรับประทานเพราะจะยิ่งทำให้ดูน้ำหนักมากขึ้นไปอีก สิ่งที่ต้องพึงปฏิบัติคือการปฏิบัติตามคำเตือนบนฉลาก โดยเฉพาะวิธีใช้ ซึ่งเราควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้อาหารเสริมมีประสิทธิภาพได้อย่างที่ควรจะเป็น ธรรมชาติของอาหารเสริมทุกชนิดที่ควรเข้าใจให้ถูกต้องคือ เมื่อเรารับประทานอาหารเสริมชนิดนั้น ๆ ไปได้สักประมาณ 2 เดือน ควรหยุดประมาณครึ่งถึงหนึ่งเดือนเพื่อให้ร่างกายได้กำจัดส่วนเกินออกไป โดยอาจจะรับประทานวันเว้นวันเพื่อไม่ให้ร่างกายต้องปรับมากเกินไป จากนั้นจึงกลับไปใช้ใหม่ในปริมาณเท่าเดิม การแพ้อาหารเสริม ข้อสังเกตง่าย ๆ ที่บ่งว่าเกิดอาการแพ้คือ ขึ้นผื่น มีอาการบวม หรือความผิดปกติอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น หากเกิดอาการเหล่านี้ อันดับแรกให้กลับมายังร้านที่ซื้อผลิตภัณฑ์ เพื่อสอบถามว่ามีคนเกิดอาการเหมือนเราไหมเพราะถ้ามีเป็นจำนวนมาก ก็น่าจะแสดงว่าเป็นเรื่องของผลข้างเคียงมากกว่าอาการแพ้ แต่ส่วนใหญ่ อาการแพ้อาหารเสริมมักไม่ค่อยรุนแรง เพียงแค่หยุดรับประทานอาการก็จะหายไป

แสงแดดทำให้ผิวแก่เร็ว



บ้านเราเป็นประเทศที่จัดว่ามีอากาศร้อนที่สุดก็ได้ โดยเฉพาะในฤดูร้อนจะมีความร้อน 38 - 42 องศา ในบางที่ แม้แต่ในกรุงเทพฯ ที่มีตึกสูง ๆ ก็ยังปาเข้าไป 36 องศา ในเวลากลางวันเลย ความที่เราเคยชินกับอากาศร้อน และแสงแดดที่ร้อนแรงก็เลยไม่ค่อยรู้สึกเท่าไรว่าแสงแดดอันแรงนี้เป็นตัวที่ทำให้เราแก่เร็ว ผิวพรรณจะเกิดริ้วรอยเร็วกว่าวัยอันสมควร บางคนอายุยังไม่ถึง 30 ปีเลย มีริ้วรอยที่หางตาเสียแล้ว เพราะเจ้าตัวคิดว่าถึงวัยที่จะเกิดริ้วรอยแล้วมั้ง แต่บางคนถึงอายุจะเลข 4 ขึ้นไปแล้วก็ยังดูเหมือนอายุแค่ 20 ปีกว่าด้วยซ้ำไป เพราะเธอรู้จักดูแลผิวพรรณ และดูแลบำรุงร่างกายอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่การบำรุงผิว อาหารการกิน หรือวิถีชีวิต และสุขภาพจิต แสงแดดนั้นนอกจากทำให้ผิวเกิดริ้วรอยย่นก่อนวัยแล้วยังทำให้เกิดสิว ฝ้าและตกกระได้ ถ้าเราต้องถูกแดดทุกวันอย่างจังจะมากหรือน้อยก็ตาม พอสะสมมากเข้าผิวก็จะแห้ง เพราะความชุ่มชื่นถูกระเหยไป ถ้าไม่มีการเติมเพื่อทดแทนผิวก็จะแห้งลงๆ ทำให้ร่องผิวลึกกลายเป็นริ้วรอยย่น โดยเฉพาะหางตาและมุมปาก ความจริงนั้นแสงแดดเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ให้ทั้งความอบอุ่น และแสงสว่างที่จะขาดเสียมิได้ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร อย่างเช่น ชาวไร่ ชาวนาที่ปลูกพืชผักและผลไม้ ถ้าไม่มีแดดก็ไม่มีการเจริญเติบโตขึ้นทำให้เรามีทั้งผักและผลไม้อร่อยๆ ตามฤดูกาลให้เราได้รับประทานได้ ถ้ามากไปผลไม้ก็จะสุกเร็ว แต่ถ้าน้อยไปก็จะโตช้า เป็นต้น แสงแดดจึงมีทั้งคุณและโทษถ้ามากเกินไป โดยเฉพาะถ้าเราถูกแดดนานเกินไป แม้แต่เส้นผมยังแดงกรอบได้เลยและน้ำหน้าอะไรกับผิวล่ะซึ่งบอบบางกว่าแยะ ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า หรือผิวกาย ผิวกายยังพอปกปิดได้ด้วยเสื้อผ้า แต่ผิวหน้าซินอกจากใส่หมวกหรือทากันแดดก็อาจช่วยได้ระยะหนึ่ง แต่ถ้าทั้งทากันแดดและใส่หมวก หรือถือร่มเป็นการป้องกัน 2 ชั้นก็ยิ่งดี เพียงแต่ว่าคนไทยไม่นิยม เท่านั้น ส่วนการป้องกันฝ้าแดด หรือผิวดำคล้ำนั้นจำเป็นมาก ถ้าไม่ป้องกันปล่อยไว้เข้าเนื้อลึกเข้าไปจะทำให้ขาวขึ้นนั้นจะต้องใช้เวลานานทีเดียว ถ้ายิ่งเป็นฝ้าละก็ลองเป็นแล้วจะหายยากมากทีเดียว ถ้าไม่อยากให้เป็นฝ้า หรือเป็นมากขึ้น เราจะต้องทากันแดดทุกวัน เวลาออกจากบ้านหรือแม้แต่ไอแดดก็ยังทำให้เป็นฝ้าได้เลย จึงควรทากันแดดชนิดเข้มข้นหน่อย หรือทา 2 ครั้ง คือ พอเลอะเลือนแล้วก็ต้องออกจากบ้านอีกในเวลาที่มีแดดแรง ก็ควรเติมกันแดดอีกครั้งเพื่อแดดจะได้ไม่ทะลุถึงใต้ผิว เพราะมีกันแดดป้องกันชั้นหนึ่งแล้ว ถ้าแสงแดดส่องถึงผิวโดยตรงแล้วจะไปทำลายเซลล์ใต้ผิวได้ ถ้าเซลล์ถูกทำลายแล้วจะทำให้ภูมิคุ้มกันตก ถ้าเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงละก็จะปรับตัวได้เร็ว แต่ถ้าเป็นคนที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง ผิวจะถูกทำลายได้ง่าย พอถูกแดดก็จะมีอาการแพ้หน้าแดงตอนถูกใหม่ๆ หลังจากนั้นพอ เข้าที่ร่มอาการแดงหายแล้วก็จะเหลือ ง และดำคล้ำทันที ความจริงแสงแดดนี้มีประโยชน์อีกอย่าง คือ สามารถฆ่าเชื้อได้ด้วย เสื้อผ้าที่ซักแล้วจึงควรเอาไปจากแดดเป็นการฆ่าเชื้อโรคไปในตัว และทำให้ไม่เหม็นอับด้วยแสงแดดนอกจากทำให้เป็นฝ้าตกกระแล้ว ยังทำให้เกิดริ้วรอยย่นตามร่องผิว ทำให้ผิวหยาบกร้านได้ และผิวจะขุ่นมัวถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแล หรือป้องกันทำให้ผิวแก่เร็ว ถ้ายิ่งไม่ได้พักผ่อน หรือพักผ่อนไม่เพียงพอก็ยิ่งแล้วใหญ่เลย จะทำให้ดูแก่ถนัดทีเดียว วิธีการดูแลป้องกัน 1.พยายามหลีกเลี่ยงการถูกแดด โดยตรงในเวลากลางวัน ถ้าจำเป็นต้องโดนแดดอย่างจังก็ควรทาโลชั่นกันแดดที่มีค่า SPF ไม่ต่ำกว่า 50 ขึ้นไป แล้วค่อยแต่งหน้าทาแป้ง ถ้าไม่อยากให้แขนถูกแดดเป็นรอย หรือเป็นฝ้าก็ควรใส่แขนยาวแต่ถ้าอยากใส่สั้นก็ควรทากันแดดตามแขนด้วยจะช่วยป้องกันไม่ให้คำคล้ำได้ เวลาทาตรงลำคอก็ควรทาด้วยเพราะเวลาใส่เสื้อคอกว้างจะได้ไม่ดูด่างๆ และไม่สมดุลกับสีผิวบนใบหน้าจะดูไม่สวยหลังจากทากันแดดแล้วค่อยทาแป้งทับอีกที กันแดดมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ชนิดเป็นแป้งน้ำ เหมาะสำหรับคนผิวมัน ผิวธรรมดา ชนิดครีม เหมาะสำหรับคนผิวแห้ง ชนิดแท่ง เหมาสำหรับแต้มเป็นที่ หลังจากทาทั่วใบหน้าแล้ว ต้องการเน้นบางจุด และใช้ได้ทุกสภาพผิว สำหรับคนที่ต้องแต่งหน้าเป็นประจำทุกวันให้ใช้ชนิดครีมทาก่อนทารองพื้น แล้วค่อยทาแป้งทับอีกที คนที่ทาแป้งโดยไม่ทารองพื้นควรใช้ชนิดแป้งน้ำ เพราะมีแป้งผสมอยู่เขย่าขวดทุกครั้งที่ใช้แล้วแต้มตามใบหน้า และเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า แล้วค่อยทาทับแป้งอีกทีก็พอ ส่วนชนิดแท่งนั้น มีทั้งครีมเป็นแท่ง หรือมีแป้งผสมเป็นแท่ง ถ้าเป็นครีมทั้งแท่งก็ใช้แบบเดียวกันกับชนิดครีม แต่ถ้าเป็นชนิดครีมผสมแป้ง หลังทาแล้วต้องเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า แล้วค่อยทาแป้งฝุ่นทับอีกทีก็พอ วิธีการทำความสะอาดครีม หรือโลชั่นกันแดด การทำความสะอาดครีม หรือโลชั่นกันแดด ก่อนนอนเป็นสิ่งจำเป็น และสำคัญยิ่ง ไม่ควรตกค้างอยู่บนใบหน้า เพราะสารที่ตกค้างอยู่บนใบหน้าจะทำลายผิวทำให้ผิวแห้งและเกิดริ้วรอยได้ง่าย ไม่ว่าใช้ชนิดใดก็ตาม ก่อนนอนควรล้างด้วย ครีมทำความสะอาดผิว (CLEANSINGCREAM) ออกให้หมด รวมทั้งคราบเมคอัพด้วย หลังจากนั้นค่อยใช้โฟม หรือสบู่ล้างออกให้สะอาดอีกทีเพื่อรองรับอาหารผิวที่จะให้ตอนก่อนนอน โดยการทาครีมบำรุง หรือโลชั่นบำรุงก่อนนอนทุกคืนตามสภาพผิวของแต่ละคน ผิวจะได้สดใสไม่หมองคล้ำ ผิวก็จะไม่แก่เร็ว ควรใช้ครีมบำรุงที่ทำให้ผิวขาวหลังถูกแดด

หลากหลายวิธีช่วยให้ผิวดูดี



ในบรรดาผิวหนังด้วยกัน ผิวหน้าถือเป็นสิ่งที่ผู้หญิงเราหวงแหนที่สุด และยังบอบบางกว่าผิวหนังบริเวณอื่นด้วย แม้เราจะอยากหยุดเวลาไว้เพียงใด แต่ใบหน้าก็คอยแต่จะโรยราไปตามวัยที่ล่วงเลย จากที่เคยสดใสเปล่งปลั่ง ก็กลับหมองคล้ำ เหี่ยวย่น ขาดความชุ่มชื้น และเต็มไปด้วยริ้วรอย ดังนั้นการเริ่มต้นดูแลผิวหน้าตั้งแต่วันนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญสารพัดวิธี To Be a Younger Face สาว ๆ หลายคนคงอยากหน้าใส แต่หนักใจที่จะต้องทุ่มเทเงินทองซื้อเครื่องประทินผิวราคาเรือนพัน เรือนหมื่น อย่าเพิ่งท้อใจไป วันนี้เรามีหลากหลายวิธีที่ช่วยให้ผิวหน้าดูดีขึ้นได้โดยที่คุณไม่ต้องจ่ายแพงมากขนาดนั้น และยังเป็นวิธีธรรมชาติช่วยหลีกเลี่ยงการเผชิญสารเคมี ที่สำคัญคุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองค่ะ Facial Acupressure ศาสตร์อายุรเวทของอินเดียเชื่อว่าการกดจุดบนใบหน้ามีส่วนช่วยเสริมสร้างความงามบนใบหน้าได้ เพราะการกดจุดเป็นการไปกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆที่เชื่อมโยงกับจุดนั้น ๆ ให้ดีขึ้น รวมทั้งยังช่วยล้างพิษที่สะสมออกไปอีกด้วย หากทำเป็นประจำหลังตื่นนอนตอนเช้า เชื่อกันว่าจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดช่วยให้ผิวหน้าสดใส ไม่หมองคล้ำ สำหรับจุดต่าง ๆ มีดังนี้ จุดที่ 1 บริเวณขมับติดกับกระบอกตาทั้งสองข้าง ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตา ทำให้นัยน์ตาสดใส วิธีกดใช้นิ้วกดในลักษณะนวดวนเป็นวงกลมเข้าไปพร้อมออกแรงกด จากนั้นวนออกพร้อมผ่อนแรงกด จุดที่ 2 บริเวณกลางหน้าผาก ช่วยให้อารมณ์สงบและมีสมาธิมากขึ้น วิธีกดใช้นิ้วกดลึกเข้าไป(ไม่ต้องวนนิ้ว) แล้วผ่อนแรงกด จุดที่ 3 บริเวณใต้หัวคิ้ว ช่วยบรรเทาอาการไซนัสได้ โดยจะใช้นิ้วโป้งซ้อนใต้หัวคิ้วแล้วกดนิ้วขึ้นไป แล้วผ่อนแรงกด จุดที่ 4 บริเวณกระดูกแก้มใต้ดวงตา จุดนี้เชื่อมกับกระเพาะอาหาร ช่วยเพิ่มพลังบริเวณช่องท้องได้ วิธีกดเหมือนจุดที่ 2 จุดที่ 5 บริเวณคาง ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกหรือขับถ่ายไม่เป็นปรกติได้ โดยใช้วิธีบีบให้ทั่วบริเวณคาง จุดที่ 6 บริเวณใต้คางไปจนถึงกราม วิธีกดใช้ท้องนิ้วของนิ้วโป้งรูดบริเวณใต้คางขึ้นไปจนถึงกราม จะช่วยลดอาการปวดหัวหรือไมเกรนได้ จุดที่ 7 บริเวณหลังติ่งหู วิธีกดเหมือนจุดที่ 2 ช่วยให้ระบบการทำงานของลำไส้เล็กดีขึ้น จุดที่ 8 บริเวณใบหู บีบใบหูให้พับติดกัน ช่วยเรื่องการทรงตัวให้เป็นปรกติ ข้อควรระวัง เวลานวดหรือกดที่ผิวหน้านั้น อย่าขยี้หรือกดแรงเกินไป เพราะจะทำให้ผิวช้ำและเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ อีกวิธีที่ช่วยเพิ่มพลังและความสดชื่น คือการใช้บริเวณท้องนิ้วมือทั้งสี่ถูเร็ว ๆ แบบเบา ๆ ที่ใบหู จนรู้สึกอุ่น และใช้นิ้วมือทั้งสิบนวดที่หนังศีรษะจนทั่ว เพียงเท่านี้คุณก็จะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และยังช่วยให้ผิวหน้ามีสุขภาพดีขึ้นด้วย Facial Massage การนวดหน้า ช่วยผ่อนกล้ามเนื้อใบหน้าที่ตึงเครียดให้คลายลง และยังกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณใต้ชั้นผิวหน้าให้ดีขึ้น ซึ่งทำให้ผิวหน้าเปล่งปลั่งสดใส หากนวดเป็นประจำสามารถลดและป้องกันริ้วรอยที่ก่อตัวบนใบหน้าได้ วิธีนวดหน้าอย่างง่าย ๆ มีดังนี้ ขั้นที่ 1 ล้างหน้าและมือให้สะอาด เช็ดให้แห้ง จากนั้นถูผ่ามือทั้งสองข้างด้วยกันแบบเร็ว ๆ แล้วนำมาปิดที่ใบหน้า คุณจะรู้สึกอุ่นที่ผิวเป็นการวอร์มผิวก่อนนวด ขั้นที่ 2 หยดครีมบำรุงหรือน้ำมันสำหรับนวดหน้า(คนละชนิดกับน้ำมันนวดตัว)ลงบนผิว เกลี่ยให้ทั่วใบหน้าโดยใช้ท้องนิ้วของนิ้วกลางและนิ้วนาง ซึ่งเป็นนิ้วที่ไม่มีแรงกดมากจึงไม่ทำให้ผิวหนังเกิดริ้วรอยได้ง่าย ขั้นที่ 3 นวดวนเป็นวงกลม ลงน้ำหนักนิ้วปานกลาง วิธีการวนนิ้ว มือซ้ายให้วนซ้าย มือขวาให้วนขวาไปเรื่อย ๆ พร้อมกันทั้ง 2 มือ เริ่มจากหน้าผากไปจนถึงขมับ จากปลายคางจนถึงติ่งหู และจากร่องจมูกจนถึงใบหู ขั้นที่ 4 ใช้ปลายนิ้วกดเบา ๆ บริเวณแนวคิ้ว จากหัวคิ้วไปไล่ไปเรื่อย ๆ จนถึงหางคิ้ว และจากปีกจมูกเฉียงไปจนถึงมุมปาก Facial Exercise วิธีที่ 1 พูดคำว่า A, E, I, O, U ติดกันโดยทำปากให้โอเวอร์แอคชั่นมากที่สุด 10 ครั้ง วิธีที่ 2 อ้าปากกว้างพร้อมทำตาโต นับ 1 - 3 ในใจ แล้วผ่อนกล้ามเนื้อใบหน้าให้กลับสู่ภาวะปรกติ 10 ครั้ง วิธีที่ 3 ทำปากเหมือนกับอมน้ำไว้ในปากให้มากที่สุด แล้วเลิกคิ้วสูงไปพร้อมกัน นับ 1 - 3 ในใจ แล้วผ่อนกล้ามเนื้อใบหน้าให้กลับสู่ภาวะปรกติ 10 ครั้ง การบริหารใบหน้าอย่างสม่ำเสมอนี้ จะช่วยให้กล้ามเนื้อและผิวหนังกระชับมากขึ้น ป้องกันรอยเหี่ยวย่น และลดความหย่อนยานของผิวหนังได้ Recipes for Facial ผิวพรรณที่เปล่งปลั่งย่อมเกิดมาจากภายใน การรับประทานอาหารที่บำรุงผิวพรรณเป็นพิเศษจึงมีส่วนสำคัญไม่น้อยทีเดียว อาหารที่มีวิตามิน A, C, E ธาตุเหล็ก กำมะถัน และสังกะสี โดยเฉพาะผักและผลไม้สดจะมีสารต้านอนุมูลอิสระหรือสาร Anti - Oxidant อยู่หลายชนิดสารนี้มีคุณสมบัติช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้ นอกจากนี้แล้วยังควรดื่มสะอาดอย่างเพียงพอประมาณ 6 - 8 แก้ว ในแต่ละวัน เพื่อชดเชยน้ำหล่อเลี้ยงผิวที่ระเหยออกไปอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายที่จะลืมไม่ได้นั่นคือการพักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกหนีจากความเครียดให้ได้มากที่สุด เพียงเท่านี้หน้าใสสุขภาพดีและอ่อนเยาว์ก็จะเป็นของคุณ

ดูแลสิวแบบธรมมชาติ


ดูแลสิวแบบธรรมชาติ

เพิ่มกระเทียม กระเทียมทำลายแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดสิว และยังเพิ่มภูมิคุ้มกันของผิวหนังอีกด้วย คุณอาจกินกระเทียมสดหรือกินกระเทียมแบบเม็ดก็ได้ อบไอน้ำ วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนที่เป็นสิวอักเสบ แต่อาจทำให้สดชื่นและทำให้ผิวสะอาดขึ้นสำหรับผู้ที่เป็นสิวไม่มากนัก ลองใช้ลาเวนเดอร์ร่วมด้วย เพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ผิวหนัง วิธีการคือ ใส่ลาเวนเดอร์แห้ง 2-4 ช้อนโต๊ะ ลงในน้ำประมาณ 2 ลิตร ต้มจนเดือนแล้วเอาหน้าอังไอน้ำที่พวยพุ่งออกมาเป็นเวลา 15 นาที จากนั้นเช็ดใบหน้าด้วยน้ำเย็นแล้วซับให้แห้ง กินอาหารที่มีกรดออกซาลิก (Oxalic Acid) อาหารอย่างเช่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มีกรดออกซาลิกที่ช่วยในการรักษาสิว

ความงามในถุงชา


ความงามในถุงชา

ถ้าคุณชอบอ่านส่วนประกอบบนฉลากผลิตภัณฑ์ อาจสังเกตเห็นสารสกัดจากชาปรากฏในส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์หลากหลายยี่ห้อ และคงสงสัยว่าทำไมต้องมีส่วนผสมของชา ชาประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (อนุมูลอิสระเป็นสาเหตุหลักของเซลล์เสื่อมสภาพก่อนวัย) ชาเขียวโดดเด่นด้านสารต้านอนุมูลอิสระยิ่งกว่าชาจีน จากการศึกษาพบว่า ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ภายใน 30 นาทีหลังจากดื่มชาจีนอุ่นๆ และสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้จะยิ่งคงประสิทธิภาพไปอีก 50 นาทีก่อนจะเข้าสู่ระดับปกติ จึงเริ่มมีการแนะนำให้ดื่มชาเพื่อหวังผลด้านชะลอภาวะแก่ก่อนวัยของเซลล์ในร่างกาย และใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงเพื่อหวังผลด้านสลายอนุมูลอิสระ คุณเองก็สามารถนำชามาช่วยดูแลผิว ริมฝีปากลอก ใช้ถุงชาที่ยังอุ่นจางๆ จากการแช่น้ำร้อน เช็ดริมฝีปากที่ลอกเป็นขุย ทาลิปสติกแล้วไม่เรียบเนียน ผิวที่เป็นขุยจะหลุดออกอย่างง่ายดาย กำจัดผิวหมอง สูตรนี้คุณอรอนงค์ ปัญญาวงศ์ เปิดเผยในงานเปิดตัวสบู่สมุนไพร “โพรเทคส์ เฮอร์เปิ้ล” ที่เธอนำมาใช้พอกผิวกายอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ส่วนผสม ชาเขียว 1 ช้อนชา, กลีบดอกดาวเรือง 1 ช้อนชา, ขมิ้นชัน ½ ช้อนชา, ตะไคร้ ½ ช้อนชา นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำมันงา 2 ช้อนชา ทาพอกผิวทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีแล้ว ค่อยขัดออกเบาๆ ก่อนอาบน้ำ แช่เท้าในน้ำชา วันไหนรู้สึกเดินจนล้าไปทั้งฝ่าเท้า ตักชาเขียว 4 ช้อนโต๊ะหรือจะโยนชาเขียว 5 ซองชงก็ได้ลงในน้ำร้อน ทิ้งไว้ให้ชาละลาย 10 นาที ก่อนแช่เท้าลงในน้ำที่กำลังอุ่น 15 นาที เป็นช่วงที่รู้สึกสบายที่สุด ชาจะทำหน้าที่คล้ายโลชั่นกระชับและทำความสะอาดเท้าพร้อมทั้งระงับกลิ่น (บางคนนอนแช่น้ำชาเพื่อระงับกลิ่นตัว) จากนั้นโยนใบสะระแหน่สุดๆ ลงในน้ำที่แช่เท้า ขยี้ใบสะระแหน่ตามนิ้วเท้า ยกเท้าขึ้นจากน้ำแล้วห่อด้วยผ้าเช็ดตัวอุ่นๆ (ที่คุณใช้ไดร์ร้อนเป่าไว้) คืนนั้นคุณจะหลักสบายปลอบผิวแดดเผา ผิวตากแดดนานๆ รู้สึกผิวร้อนผ่าว อย่าเพิ่งลงครีมบำรุงผิวเนื้อข้นๆ ขณะนั้นผิวต้องการระบายความร้อนที่ได้รับออก ครีมบำรุงจะไปปิดผิวไม่ให้ความร้อนในเซลล์ระบายออก ไม่ต่างอะไรกับอบผิวในเตาอบ ผสมข้าวโอ๊ตบด 1 ถ้วยลงในน้ำชาเขียวร้อนๆ 1 ถ้วย กับแตงกวาสับละเอียด (ส่วนผสมจะช่วยระงับอาการแดงและอักเสบ) เติมน้ำผึ้งลง 4 ช้อนโต๊ะเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นแช่ส่วนผสมดังกล่าวในตู้เย็น 1 ชั่วโมง ก่อนนำมาทาผิวที่ถูกแดดเผา คลุมด้วยผ้าชุบน้ำเย็นๆ 10 นาทีแล้วล้างออก

แก้ปัญหาหัวเข่าด้าน


แก้ปัญหาหัวเข่าด้าน

ผิวหนังบริเวณหัวเข่า มีต่อมน้ำมันอยู่น้อยมาก จึงเกิดอาการแห้งได้ง่าย และถ้าคุณต้องคุกเข่าทำอะไรเป็นประจำด้วยแล้วล่ะก็ ผิวบริเวณหัวเข่า ก็จะยิ่งหยาบกร้านมากขึ้นจนดูน่าเกลียด เกินกว่าจะใส่กางเกงขาสั้นหรือกระโปรงโชว์หัวเข่าได้ โชคดีที่เรายังพอมีวิธีง่ายๆ ในการฟื้นฟูผิวบริเวณหัวเข่าให้กลับมาดูเนียนนุ่มขึ้นได้ โดยผสมน้ำมันทาตัว (หรือจะใช้น้ำมันมะกอกก็ได้) ครึ่งถ้วย กับน้ำตาลทราย 4–5 ช้อนโต๊ะ ทำผิวให้เปียกน้ำ หรือจะอาบน้ำไปเลยก็ได้ จากนั้น ก็ใช้น้ำตาลขัดผิวที่ผสมไว้นั้น นวดลงบนผิวบริเวณหัวเข่าเป็นแนววงกลม น้ำตาลจะช่วยลอกสะเก็ดผิวแห้งๆ ออก ในขณะที่น้ำมันจะช่วยทำให้ผิวนุ่มขึ้น จากนั้น ก็ล้างออกด้วยเจลอาบน้ำ เมื่อเช็ดผิวให้แห้งแล้วก็อย่างลืมทาครีมชนิดเข้มข้นตามลงไปทันที ถ้าคุณทำแบบนี้สัปดาห์ละครั้ง คุณก็น่าจะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นภายในหนึ่งเดือน